7 ความแตกต่างที่น่าค้นหาของ Arabica และ Robusta

27265 จำนวนผู้เข้าชม  | 

อราบิก้า (Arabica) กับ โรบัสต้า (Robusta) เป็นกาแฟสองสายพันธุ์หลักที่ถูกปลูกเพื่อการพาณิชย์ โดยหลายๆคนอาจจะคิดว่ากาแฟสองสายพันธุ์นี้เหมือนกัน แต่ในความจริงแล้วกาแฟทั้งสองสายพันธุ์ มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน แล้วความแตกต่างของ อราบิกัา (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta) นั้นมีอะไรบ้าง

Barista Buddy ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกาแฟ จะพาไปทำความรู้จักกัน กับ 7 ความแตกต่างที่น่าค้นหาของกาแฟ อาราบิกัา (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta)

ความแตกต่างของ อราบิกัา (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta)

1. ความแตกต่างทางด้านรูปทรงและลักษณะของ Arabica และ Robusta

ความแตกต่างแรกที่ช่วยแบ่งแยกเมล็ดกาแฟ 2 สายพันธุ์ อาราบิก้า (Arabica) กับ โรบัสต้า (Robusta) ที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า คือด้านรูปทรงและลักษณะ ซึ่งมีจุดแตกต่างที่สังเกตได้ ตามลักษณะดังต่อไปนี้

เมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : รูปทรงเป็นวงรี และเส้นส่วนกลางเป็นทรงคด หรือมองเป็นรูปตัว s
เมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : รูปทรงเป็นวงกลม และเส้นส่วนกลางเป็นเส้นตรง

ทั้งนี้ความแตกต่างทางด้านรูปทรงของเมล็ดกาแฟเป็นแค่ตัววัดพื้นฐาน เพราะยังมีความแตกต่างทางด้านรสชาติและอื่นๆ ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนข้อถัดไป

ความแตกต่างทางด้านรูปทรงและลักษณะของ arabica และ robusta

2. ความแตกต่างทางด้านความสูงของลำต้นและการเพาะปลูกของ Arabica และ Robusta

นอกจากความแตกต่างด้านกายภาพของเมล็ดกาแฟ 2 สายพันธุ์นี้แล้ว ยังแตกต่างในด้านของลักษณะลำต้นที่มีความสูงไม่เหมือนกัน โดยแบ่งแยกได้ตามลักษณะ ดังนี้

ความสูงของลำต้นเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : มีลำต้นสูง 2.5-4.5 เมตร ให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟไม่ดกมาก ทั้งนี้ควรปลูกในพื้นที่สูงอยู่ระดับของน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 800 - 1,000 เมตร ทางภาคเหนือของประเทศไทยเช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และน่าน สามารถปลูกอาราบิก้าได้ เพราะมีอากาศหนาวเย็น ทำให้เมล็ดอาราบิก้าสามารถเจริญเติบโตได้ดี

ความสูงของลำต้นเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีลำต้นสูง 4.5-6.5 เมตร สูงกว่าลำต้นของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟที่เยอะและดก สามารถปลูกได้ในพื้นที่ต่ำ หรือสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 500 - 600 เมตรเท่านั้น อาศัยอยู่ในอากาศที่ชุ่มชื้นได้ และทนความร้อนได้ดี อีกทั้งยังปลูกในพื้นที่ประเทศไทย อย่างจังหวัดในแถบภาคใต้ เช่น ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ซึ่งเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า มักนำไปผ่านกรรมวิธีเป็นกาแฟสำเร็จรูป เพราะให้ผลผลิตมากกว่าเมล็ดกาแฟทั่ว ๆ ไป

ความแตกต่างทางด้านความสูงของลำต้นและการเพาะปลูกของ arabica และ robusta

3. ความแตกต่างทางด้านรสชาติของ Arabica และ Robusta

แน่นอนว่าทั้งเมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้า จะต้องมีรสชาติที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลให้คอกาแฟหลายคนต้องพัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟและคิดค้นเมนูในเข้ากับเมล็ดพันธ์ุกาแฟนั้นๆ ลำดับต่อไปเราจะมาจำแนกรสชาติของเมล็ดกาแฟ 2 สายพันธุ์นี้กันแบบเจาะลึก 

รสชาติเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติของกาแฟที่หวาน หอม และละมุน และยังมีความเป็นกรด (Acidity) และน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยังคงกลิ่นและรสชาติของผลไม้ไว้เล็กน้อย เนื่องด้วยมีคาเฟอีนและบอดี้ที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าเมื่อนำไปสกัดจึงดื่มง่าย ถูกปากคอกาแฟมือใหม่ มีรสชาติที่ซับซ้อนและได้รับความนิยมไปทั่วโลก

รสชาติเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีสโลแกนประจำตัวว่าเข้มถึงใจ เพราะมีรสชาติเด่น ไม่ว่าจะเป็น ความขม รสชาติหนักแน่นเต็มรสชาติกาแฟ และมีติดรสฝาดเล็กๆ ทั้งนี้จึงมีกรดและน้ำตาลน้อย เนื่องด้วยคาเฟอีนที่ค่อนข้างสูง จึงนิยมไปทำกาแฟสำเร็จรูปที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป

ความแตกต่างทางด้านรสชาติของ Arabica และ Robusta

4. ความแตกต่างทางด้านการดูแลของ Arabica และ Robusta

ในเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะมีปริมาณของคาเฟอีนอยู่ที่ 0.6 – 1.4% ต่อเมล็ด ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะมีปริมาณของคาเฟอีนอยู่ที่ 1.8 – 4.0% ต่อเมล็ดซึ่งค่อนข้างสูงกว่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้า เหตุเช่นนี้ทำให้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าถูกแมลงรบกวนได้ง่าย เนื่องจากมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อย จึงต้องเก็บเมล็ดกาแฟอาราบิก้าในพื้นที่ที่มิดชิดและมีระบบสูญญากาศ ในส่วนของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าก็ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันแมลงหรือฝุ่นสิ่งสกปรกที่อาจเข้าไปได้เช่นกัน เพื่อคงคุณค่าและคุณภาพเมล็ดกาแฟให้อยู่ได้นานๆ

4. ความแตกต่างทางด้านการดูแลของ Arabica และ Robusta

5. ความแตกต่างของกลิ่นกาแฟระหว่าง Arabica และ Robusta

ในด้านของรสชาติที่นอกจากจะแตกต่างกัน เมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้ายังมีข้อแตกต่างทางด้านกลิ่นด้วย

กลิ่นของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : จะมีกลิ่นหอมละมุน เมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำกาแฟแล้วเมื่อได้สัมผัสถึงกลิ่นจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และยังมีกลิ่นที่คล้ายโกโก้ ช็อกโกแลต ผสานกับกลิ่นอโรม่าอีกด้วย
กลิ่นของเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : มีกลิ่นที่ให้ความธรรมชาติ แบบดินหรือยางแต่ไม่เหม็น สามารถแต่งเลียนแบบกลิ่นให้หอมละมุนมากขึ้นได้

6. ความแตกต่างทางด้านราคาของ Arabica และ Robusta

เชิงทางด้านการค้าขาย เมล็ดกาแฟทั้ง 2 สายพันธุ์นี้มีราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอิงจากการเพาะปลูกและการให้ผลผลิต

ราคาเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) : มีราคาที่ค่อนข้างสูง เพราะเพาะปลูกได้ยาก ให้ผลผลิตน้อย และไม่ทนโรค หากต้นเมล็ดกาแฟเจอสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้

ราคาของเมล็ดกาแฟโรบัสต้า (Robusta) : ราคาถูก ต้นทุนต่ำ เพราะเพาะปลูกได้ง่าย ทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย ทนโรคและให้ผลผลิตที่เยอะ จึงเป็นเมล็ดกาแฟที่มักถูกนำไปผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูปในเชิงพาณิชย์

7. ความแตกต่างของปริมาณสารอาหารของ Arabica และ Robusta

เนื่องจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดกาแฟโรบัสต้า จึงทำให้มีปริมาณไขมันดีสูง ช่วยเพิ่มพลังงานและลดระดับคอเลสเตอรอล (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการบริโภคในแต่ละวัน)

แนะนำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากแจ้ห่ม

แนะนำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากแจ้ห่ม

เมล็ดอาราบิก้าจากแจ้ห่ม : แจ้ห่ม คือ เทือกเขาในจังหวัดลำปาง เป็นแหล่งเพาะปลูกที่เราพัฒนาคุณภาพกาแฟร่วมกับเกษตรโดยตรง เพื่อควบคุมคุณภาพของสารกาแฟให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ตั้งอยู่ที่ความสูงอยู่ระดับ1,000เมตร จากระดับน้ำทะเล ลักษณะเด่น คือ เป็นอาราบิก้าที่มีบอดี้กาแฟที่หนักแน่นรสชาติกาแฟจะติดค้างอยู่ในปากนานกว่าปกติ

 

หวังว่าทุกคนจะได้ข้อสรุปถึง 7 ข้อความแตกต่างที่น่าค้นหาของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica) VS เมล็ดกาแฟโรบัสต้า Robusta ซึ่งทั้ง 2 เมล็ดนี้แม้ว่าจะเป็นกาแฟเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันทั้งในด้านของกายภาพ หรือรูปทรงที่เปรียบเทียบได้ชัดเจน, แตกต่างด้านรสชาติ, แตกต่างด้านการเพาะปลูกและการให้ผลผลิต, แตกต่างทางด้านกลิ่น, แตกต่างทางด้านการค้าขาย และสุดท้ายคือแตกต่างในด้านปริมาณสารอาหาร คอกาแฟหลายท่านสามารถนำทริคการแบ่งความแตกต่างของเมล็ดกาแฟไปปรับใช้ในเมนูกาแฟทุกแก้วของคุณกันได้เลยนะ

 

ขอบคุณบทความจาก....https://beanshere.com/

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้